สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ ก่อนตัดสินใจเข้าสู่วงการฟรีแลนซ์ !

        เราอยู่ในยุคไฮบริดที่ฟรีแลนซ์ กำลังเป็นหนึ่งในอาชีพในฝัน และได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่เอามากๆ เพราะมีความอิสระ ไม่ต้องตื่นเช้าฝ่ารถติดไปตอกบัตรเข้าออฟฟิศ สามารถ Work from anywhere หรือจะทำงานที่ไหนก็ได้ อีกทั้งยังจัดการบริหารเวลา และชีวิตตัวเองได้มากกว่างานประจำ สำหรับใครที่กำลังสนใจอยากเข้าสู่วงการฟรีแลนซ์ วันนี้ Daywork จะขออาสาพาไปทำความรู้จักกับการทำงานฟรีแลนซ์อย่างหมดเปลือกไปพร้อมๆ กันเลย!

 

           Freelance คือ ผู้ที่มีอาชีพรับจ้างอิสระที่ไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยงาน องค์กร หรือบริษัทใดๆ มีการจ้างงานจากผู้ว่าจ้างให้ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และคิดค่าบริการตามตกลงในงานนั้นๆ ผู้ทำอาชีพนี้จะต้องทำการบริหารจัดการงาน และเวลาด้วยตนเอง การทำงานในลักษณะนี้จึงจะต้องมีความรับผิดชอบสูงกว่างานปกติ

 

โดยประเภทของฟรีแลนซ์จะแบ่งออกเป็น 5 หมวด ดังนี้

1. Independent Contractors คือ พวกที่รับจ้างงานเป็นโปรเจกต์ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในบรรดา Feeelancer
2. Moonlighters คือ ผู้ที่มีงานประจำอยู่แล้ว แต่มาทำงานฟรีแลนซ์เป็นอาชีพเสริม หรือเรียกกันว่าทำฝิ่น ส่วนคำว่า Moonlighters นั้น  สันนิษฐานได้ว่าน่าจะมาจากการนั่งทำงานหามรุ่งหามค่ำในตอนกลางคืนนั่นเอง
3. Diversified Workers คือ กลุ่มคนที่หารายได้จากหลายทาง เช่น ขายของที่ตลาดตอนเช้า ตอนบ่ายมาเขียนบทความอิสระ พอตกเย็นก็ไปขับ Grab
4. Temporary Workers คือ กลุ่มคนที่ทำงานฟรีแลนซ์เหมือนงานประจำ แต่แค่ชั่วคราว หรืออธิบายง่ายๆ ก็เป็นฟรีแลนซ์ที่รับงานจากลูกค้าเพียงคนเดียว ผูกมัดไว้เป็นระยะเวลาสั้นๆ 3-4 เดือน
5. Freelance Business Owner คือ กลุ่มคนที่ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ แต่ก็จ้างฟรีแลนซ์คนอื่นมาทำงานด้วย อาจเรียกได้ว่าเป็นเอเจนซี่ หรือผู้รับเหมาก็ได้

 

 

ข้อดี ของการทำงานฟรีแลนซ์

1. มีโอกาสได้รับค่าตอบแทนมหาศาล 

แม้ว่าการทำงานฟรีแลนซ์ จะได้รับค่าตอบแทนที่ไม่แน่นอน แต่ก็มีโอกาสที่จะได้รับค่าตอบแทนมหาศาลได้เช่นกัน ถ้าได้รับงานมูลค่าสูงจากลูกค้า หรือทำงานหลายอย่าง ซึ่งเมื่อเทียบกับคนที่ทำงานประจำ ไม่ว่าจะทำมาก ทำน้อยแค่ไหน ก็จะได้รับค่าตอบแทนคงที่ในระดับหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่ง

2. มีโอกาสได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์มากกว่า 

แม้ว่าผู้ที่ทำงานฟรีแลนซ์ ต้องทำตามความต้องการของลูกค้า แต่ลูกค้าจำนวนไม่น้อย ก็มักกำหนดเพียงแค่คอนเซ็ปต์ในการทำงานแบบกว้าง ๆ เรื่องนี้ทำให้ผู้ที่ทำงานฟรีแลนซ์ มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น และใช้ความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนที่ทำงานประจำ ที่ส่วนใหญ่มักต้องรับฟังคำสั่งจากหัวหน้า และมีสิทธิ์ออกความคิดเห็นและใช้ความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่าผู้ที่ทำงานฟรีแลนซ์

3. สามารถโฟกัสกับการทำงานได้ง่าย เพราะไม่ต้องยุ่ง หรือติดต่อกับใครมากนัก 

เนื่องจากคนที่ทำงานฟรีแลนซ์ จะสามารถทำงานได้เอง แม้กระทั่งด้วยตัวคนเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่ต้องยุ่งกับใครมากนัก ซึ่งจุดนี้จะทำให้โฟกัส และทุ่มเทกับการทำงานได้ง่ายมากขึ้น

4. มีเวลาที่ยืดหยุ่น

สามารถเลือกได้เองว่าจะทำงานเวลาใด ไม่มีใครบังคับ ถ้ารู้สึกไม่สบายก็พักก่อนได้ ต่างจากการทำงานประจำที่ค่อนข้างเคร่งครัดเวลาเข้างาน-เลิกงาน อีกทั้งยังต้องมีเหตุผลที่เพียงพอต่อการขอลาหยุดด้วย

5. เปลี่ยนบรรยากาศการทำงานได้ตามใจชอบ 

จะไปทำงานร้านกาแฟ ต่างจังหวัด หรือที่ไหนก็ได้ อาชีพฟรีแลนซ์มีสิทธิกำหนดสถานที่เอง เพื่อความพึงพอใจในการทำงาน

6. ไม่ต้องสุขภาพจิตเสียจากเจ้านาย และเพื่อนร่วมงานที่ไม่ดี

ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกนินทาว่าร้าย หรือถูกกล่าวหาอย่างไม่มีเหตุผลจากเจ้านาย หรือเพื่อนร่วมงาน ความสัมพันธ์ระหว่างคนทำอาชีพฟรีแลนซ์กับลูกค้า ก็เป็นเพียงแค่งานที่พบกันชั่วคราว มันคือการพบกันระยะสั้น และมองกันที่เนื้องานเป็นหลัก เมื่องานเสร็จ ความสัมพันธ์ก็จบ

 

ข้อเสีย ของการทำงานฟรีแลนซ์

1. เวลาที่ยืดหยุ่นเดินไปอาจทำให้ขี้เกียจ

สำหรับคนที่รักสบายต้องฝึกวินัยให้มาก เพราะความขี้เกียจเป็นศัตรูตัวร้ายของงานประเภทนี้

2. ไม่มีความมั่นคงแน่นอน

งานบางอย่างในประเภทของฟรีแลนซ์ก็ขึ้นอยู่กับฤดูกาล  หรือเทศกาล บางช่วงอาจรับงานแทบไม่ทัน บางช่วงอาจงานน้อย ถ้าจะยึดงานอิสระเป็นอาชีพหลัก ควรมีปฏิทินวางแผนงานไว้เป็นคู่มือการทำงานส่วนตัว

3. ต้องขยัน และมีความละเอียดมากๆ

อาชีพฟรีแลนซ์เป็นอาชีพที่ใช้แรงกาย และสมองค่อนข้างมาก ลูกค้าจะจ้างเรา หรือไม่ก็ขึ้นกับว่าเรามีโปรไฟล์งานที่หลากหลายเพียงใด มีประสบการณ์โชกโชนแค่ไหน เมื่อถึงเวลาว่าง ก็ยังต้องเรียนรู้และฝึกฝน เพื่ออัพเดท และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

4. ต้องใช้ Service Mind สูง

ฟรีแลนซ์ต้องรับมือกับลูกค้าด้วยตนเองอยู่เสมอ และต้องทำให้ลูกค้าประทับใจที่สุด สามารถบอกต่อถึงคุณภาพงานของเราได้แพร่หลายมากที่สุด ต่อให้ลูกค้าคนนั้นงี่เง่าจริง ก็ต้องหาวิธีการทำอย่างไรก็ได้ เพื่อที่จะให้ลงเอยด้วยดี โดยที่ยังรักษางานตัวเองไว้ได้

5. ต้องพยายามไม่ป่วยหนัก

แม้จะมีประกันของบางบริษัทรับทำให้กับกลุ่มคนทำงานฟรีแลนซ์ แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทุกอาชีพ และทุกกลุ่มรายได้ นอกจากจะต้องรักษาสุขภาพให้แข็งแรงเสมอแล้ว จะต้องเก็บเงินเพื่อสุขภาพให้มากๆ ด้วย เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน เช่น ป่วยจากโรคร้ายแรง หรือประสบอุบัติเหตุ

6. งานกับชีวิตส่วนตัวปะปนกันมั่วไปหมด

คนที่เป็นฟรีแลนซ์ต้องเตรียมพร้อมที่จะทำงานอยู่เสมอ ทุกๆ ที่สามารถเป็นที่ทำงานได้ และทุกเวลาสามารถเป็นเวลางานได้ ดังนั้นคนทำงานฟรีแลนซ์จะต้องยอมรับกับข้อเท็จจริงที่ว่างานที่คุณทำ จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตส่วนตัวของคุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

7. จ่ายเงินไม่ตรงเวลา

การจ่ายเงินช้าเป็นอีกหนึ่งปัญหาคลาสสิกของคนทำงานฟรีแลนซ์ ซึ่งมักจะโดนกันเป็นเรื่องปกติ เพราะฉะนั้นในสัญญาว่าจ้างงานจะต้องระบุระยะเวลาการจ่ายเงิน จะจ่ายรอบเดียว หรือแบ่งจ่ายให้ชัดเจนไปเลย เพื่อป้องกันปัญหาการจ่ายเงินไม่ตรงเวลา

 

หากยอมรับเงื่อนไขทุกข้อทั้งหมดนี้ ก็หมายความว่าคุณน่าจะพร้อมแล้วสำหรับการทำงานฟรีแลนซ์ ซึ่งก็สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆ ตาม

7 ขั้นตอน สู่การเตรียมความพร้อมเป็นฟรีแลนซ์ !!

1. อุปกรณ์เครื่องมือในการทำงานต้องพร้อม

ก่อนจะเริ่มทำงานในฐานะฟรีแลนซ์ สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกเลย คือ การหาซื้ออุปกรณ์เครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับการทำงาน โดยเฉพาะเมื่องานนั้นเกี่ยวข้องกับการออกแบบ เนื่องจากการมีอุปกรณ์เครื่องมือที่ดี ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ หรือแล็ปท็อป จะส่งผลให้เราทำงานได้อย่างสะดวกสบาย มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมไปถึงคุณภาพงานก็จะดีขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน 

2. ค้นหาทักษะของตัวเอง

เมื่อมีอุปกรณ์เครื่องมือที่เหมาะสมแล้ว ขั้นตอนต่อมาก็ต้องค้นหาทักษะและความสามารถของตัวเองที่สามารถใช้ในการทำงานในฐานะฟรีแลนซ์ได้ ทักษะเหล่านั้น อาจเป็นทักษะทั่วไปอย่าง การแปลภาษา หรือทักษะเฉพาะทางอย่าง การพัฒนาแอปพลิเคชั่นก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่า เราทำสิ่งไหนได้ดี และเป็นที่ต้องการของตลาดหรือไม่

3. สะสมประสบการณ์เพื่อให้เป็นที่รู้จัก

สำหรับการทำงานฟรีแลนซ์ ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราได้งานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผลงานล้วนๆ เพราะไม่ว่าเราจะเรียนจบจากที่ไหน มีประสบการณ์ทำงานมากี่ปี หากเราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เราสามารถทำงานตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้จริง ก็คงไม่มีใครจ้างงานเราอยู่ดี เพราะฉะนั้นการสะสมประสบการณ์เพื่อสร้างสรรค์ผลงานให้ดีขึ้นอยู่เสมอ จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการสร้างชื่อเสียงของเราในแวดวงฟรีแลนซ์ ซึ่งจะเป็นผลให้เราได้งานอย่างต่อเนื่องในระยะยาว

4. สร้าง Portfolio ให้น่าสนใจเป็นที่ดึงดูดของลูกค้า

เมื่อเริ่มสะสมผลงาน และประสบการณ์จนกระทั่งเป็นที่รู้จักมากขึ้น ก็อย่าลืมที่จะเก็บผลงานเหล่านั้นลงใน Portfolio เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าสนใจที่จะร่วมงานกับเรา โดยการสร้าง Portfolio ในปัจจุบัน สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ เช่น Website หรือ Webpage เป็นต้น

5. ลองทำงานฟรีแลนซ์ ควบคู่กับงานประจำไปก่อน   

อย่างที่บอกไปว่าอาชีพฟรีแลนซ์มีความเสี่ยงสูงกว่างานประจำ เพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะมีลูกค้าจ้างงานในระยะยาวหรือไม่ เพราะฉะนั้นหากยังไม่มั่นใจว่าจะประกอบอาชีพฟรีแลนซ์เป็นอาชีพหลักดีหรือไม่ ลองทำเป็นอาชีพเสริมควบคู่ไปกับอาชีพหลักก่อนก็ได้ หากรู้จักจัดสรรเวลาทำงานให้ดี และเมื่อรู้สึกว่าเราพร้อมที่จะก้าวออกสู่โลกกว้างแล้ว ก็ค่อยออกมาเป็นฟรีแลนซ์แบบเต็มตัว

6. สร้างเครดิตทางการเงินให้ดี

ถึงแม้การเป็นฟรีแลนซ์จะไม่มั่นคง แต่เราสามารถสร้างเครดิตทางการเงินได้ ด้วยการเปิดบัญชีหนึ่งไว้ฝากเงินสม่ำเสมอทุกๆ เดือน  โดยบางธนาคารมีเงื่อนไขว่าสามารถทำบัตรเครดิตได้ถึงแม้คุณไม่ได้เป็นพนักงานประจำ เพียงแค่มีรายการเดินบัญชีที่แสดงให้เห็นว่าเป็นคนมีวินัย  และวางแผนเก็บเงินอย่างรอบคอบ

7. วางแผนเรื่องสุขภาพ

เพราะต้องทำงานจนลืมดูแลสุขภาพทำให้หลายคนมีอาการป่วย จากทั้งทานอาหารไม่ตรงเวลา ปวดหลังเพราะนั่งนาน หรือร่างกายอ่อนเพลียจากการอดหลับอดนอนปั่นงานดึกๆ ยิ่งถ้ารับงานเยอะๆ แล้วแทบจะไม่ได้ขยับตัวออกจากหน้าจอคอมเลยทีเดียว จนเป็นบ่อเกิดของโรคภัยต่างๆ จึงควรเตรียมความพร้อม และวางแผนในเรื่องของสุขภาพให้ดี

 

    เห็นมั้ยว่าการเข้าสู่วงการฟรีแลนซ์ไม่ได้ยาก หรือโหดร้ายอย่างที่คิด ถ้าเรามีการวางแผนที่ดีก็สามารถมีชีวิตที่มั่นคง มั่งคั่ง อิสระได้ตามใจฝัน สำหรับใครที่กำลังมองหางานฟรีแลนซ์ หรืองานพาร์ทไทม์ Daywork ก็พร้อมให้บริการจัดหาคนทำงานให้กับบริษัท ห้างร้าน รวมถึงออแกไนซ์ต่างๆ ที่กำลังต้องการคนเข้าไปช่วยงาน ซึ่งสามารถเลือกทำเฉพาะช่วงที่ว่าง หรือสะดวกโดยที่ไม่กระทบต่อการทำงานประจำ ด้วยการสมัครง่ายๆ ผ่านช่องทาง  Application Daywork ได้ที่นี่เลย!