วันที่โพสต์: 31 October 2024 วันที่อัปเดต: 2 May 2025

นายจ้าง ผู้จ้าง ผู้ว่าจ้าง ลูกจ้าง และผู้รับจ้าง ต่างกันอย่างไร? รวมทุกสิ่งที่ควรรู้เพื่อเข้าใจหน้าที่ของแต่ละบทบาท

นายจ้าง ผู้จ้าง ผู้ว่าจ้าง ลูกจ้าง และผู้รับจ้าง ต่างกันอย่างไร? รวมทุกสิ่งที่ควรรู้เพื่อเข้าใจหน้าที่ของแต่ละบทบาท

เมื่อพูดถึงโลกการทำงาน คำว่า “นายจ้าง” “ผู้จ้าง” “ผู้ว่าจ้าง” “ลูกจ้าง” และ “ผู้รับจ้าง” ล้วนเป็นคำที่เราพบเจออยู่เสมอ แต่ทราบหรือไม่ว่าทุกคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกัน? การทำความเข้าใจคำเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้การสื่อสารกับบุคคลในสถานการณ์การทำงานชัดเจนขึ้น แต่ยังช่วยให้เราเข้าใจถึงหน้าที่และความรับผิดชอบในทุกสถานการณ์การทำงานได้อีกด้วย มาดูกันว่าแต่ละคำนี้หมายถึงอะไรและบทบาทใดที่คุณอาจมีอยู่!

 

4 รวมบทบาทสำคัญในองค์กร 

  • 1. นายจ้าง (Employer) 
  • 2. ผู้จ้าง (Hirer) 
  • 3. ผู้ว่าจ้าง (Client/Contractor)
  • 4. ลูกจ้าง (Employee) 
  • 5. ผู้รับจ้าง (Freelancer/Independent Contractor)

 

นายจ้าง ผู้จ้าง ผู้ว่าจ้าง ลูกจ้าง และผู้รับจ้าง ต่างกันอย่างไร? รวมทุกสิ่งที่ควรรู้เพื่อเข้าใจหน้าที่ของแต่ละบทบาท

 

 

 

1. นายจ้าง (Employer) 

นายจ้าง คือนักลงทุนแห่งทรัพยากรบุคคล! บุคคลหรือองค์กรที่ทำหน้าที่จ้างพนักงานเข้ามาเพื่อร่วมขับเคลื่อนธุรกิจ โดยมีหน้าที่ในการกำหนดงาน ควบคุมการทำงาน และดูแลลูกจ้างให้ได้รับค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม ซึ่งนายจ้างอาจเป็นได้ทั้งบุคคลธรรมดา บริษัทขนาดเล็ก ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ที่มีการจ้างงานครอบคลุมหลายแผนกและหลากหลายตำแหน่ง

บทบาทสำคัญของนายจ้าง:

  • มอบหมายงานและกำกับดูแล: กำหนดหน้าที่และขอบเขตการทำงานของลูกจ้างให้ชัดเจน
  • เสนอค่าตอบแทนและสวัสดิการ: เพื่อสร้างความพึงพอใจและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ

 

 

2. ผู้จ้าง (Hirer) 

ผู้จ้าง ส่วนใหญ่ใช้ในกรณีการจ้างงานเป็นครั้งคราวหรือการจ้างงานระยะสั้น บุคคลนี้อาจไม่ได้ทำสัญญาการจ้างงานอย่างเป็นทางการเหมือนนายจ้าง แต่เป็นการตกลงที่เน้นความยืดหยุ่น เช่น การจ้างช่างมาทำงานเฉพาะกิจหรือนักศึกษามาช่วยงานในช่วงเวลาหนึ่ง

บทบาทหลักของผู้จ้าง:

  • กำหนดเงื่อนไขการทำงานชั่วคราว: เลือกใช้ทรัพยากรตามความจำเป็นในเวลาที่ต้องการ
  • เสนอค่าตอบแทนที่ยืดหยุ่น: เน้นความยืดหยุ่นในการจ่ายค่าตอบแทนตามความเหมาะสม

 

 

3. ผู้ว่าจ้าง (Client/Contractor)

ผู้ว่าจ้าง คือบุคคลที่ใช้การจ้างงานตามสัญญาที่มีขอบเขตงานชัดเจนและระยะเวลาที่กำหนด เช่น การว่าจ้างเอเจนซี่เพื่อออกแบบโฆษณาหรือว่าจ้างบริษัทก่อสร้างสร้างบ้าน ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้กำหนดเป้าหมายและคอยติดตามผลงานตามข้อตกลงที่วางไว้

บทบาทของผู้ว่าจ้าง:

  • กำหนดขอบเขตของโปรเจกต์: ให้ความชัดเจนในเป้าหมายและรายละเอียดงาน
  • ติดตามผลและควบคุมคุณภาพ: เพื่อให้โปรเจกต์เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนด

 

4. ลูกจ้าง (Employee) 

ลูกจ้าง คือผู้ที่ทำงานภายใต้การควบคุมและดูแลของนายจ้าง ทำหน้าที่หลักในการปฏิบัติงานตามขอบเขตที่ได้รับมอบหมายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดก็ตาม พวกเขาคือฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้า ลูกจ้างยังได้รับค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตามที่ตกลงไว้ในสัญญาจ้าง

บทบาทของลูกจ้าง:

  • ปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย: เพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์กร
  • ปฏิบัติตามข้อกำหนดองค์กร: รักษามาตรฐานและกฎระเบียบขององค์กร

 

 

5. ผู้รับจ้าง (Freelancer/Independent Contractor) 

ผู้รับจ้าง หรือฟรีแลนซ์ คือผู้ที่ให้บริการตามข้อตกลงเป็นงาน ๆ หรือโปรเจกต์ใดโปรเจกต์หนึ่ง ไม่ได้ผูกพันกับองค์กรในระยะยาว ผู้รับจ้างมีอิสระในการทำงานและสามารถเลือกวิธีการทำงานของตนเอง โดยค่าตอบแทนจะขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ของงานที่ทำเสร็จสมบูรณ์

บทบาทของผู้รับจ้าง:

  • ทำงานให้เสร็จตามที่กำหนด: ส่งมอบงานตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้
  • จัดการเวลาของตนเอง: มีอิสระในการกำหนดเวลาทำงานอย่างยืดหยุ่น

 

การทำความเข้าใจบทบาทของคำอย่าง นายจ้าง ผู้จ้าง ผู้ว่าจ้าง ลูกจ้าง และ ผู้รับจ้าง เป็นสิ่งสำคัญไม่เพียงแค่ทำให้เราเลือกใช้คำได้ถูกต้องตามบริบทเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าใจขอบเขตความรับผิดชอบและความคาดหวังในงานที่มีต่อกันได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น การมีความเข้าใจที่ชัดเจนในแต่ละบทบาททำให้การเจรจางานราบรื่นมากขึ้น เพราะทุกฝ่ายรู้ว่าอะไรเป็นหน้าที่ของตัวเอง สิ่งใดที่คาดหวังได้จากอีกฝ่าย และควรจะทำอย่างไรเมื่อมีปัญหาหรือข้อขัดแย้งเกิดขึ้น

 

ประโยชน์ของความเข้าใจบทบาทในการเจรจาจ้างงาน

  1. การสื่อสารที่ชัดเจนและลดความเข้าใจผิด: เมื่อทุกฝ่ายรู้หน้าที่ของตนเอง จะทำให้เกิดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ลดปัญหาความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าใจผิดหรือข้อตกลงที่ไม่ชัดเจน เช่น นายจ้างสามารถอธิบายงานและความคาดหวังให้ลูกจ้างเข้าใจได้ง่ายขึ้น ผู้รับจ้างก็รู้ว่าสิ่งใดที่ผู้ว่าจ้างต้องการและสามารถส่งมอบผลงานให้ตรงตามที่ตกลงกันไว้ได้
  2. การป้องกันข้อขัดแย้งในข้อตกลง: ความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับบทบาทและขอบเขตหน้าที่ของแต่ละฝ่ายสามารถช่วยป้องกันข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการทำงาน ตัวอย่างเช่น หากผู้ว่าจ้างเข้าใจขอบเขตและวิธีการทำงานของผู้รับจ้าง เขาจะไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานของผู้รับจ้างจนเกินไป ทำให้ผู้รับจ้างสามารถทำงานได้อย่างอิสระตามความถนัดและความชำนาญ
  3. การสร้างความมั่นใจและความไว้วางใจในความสัมพันธ์การทำงาน: เมื่อแต่ละฝ่ายมีความเข้าใจที่ถูกต้องและมีการปฏิบัติตามบทบาทของตนเองอย่างเหมาะสม จะช่วยสร้างความมั่นใจและความไว้วางใจในความสัมพันธ์การทำงาน ทำให้ทุกฝ่ายรู้สึกมั่นใจในความชัดเจนของข้อตกลงและเป้าหมายของงานที่ต้องการบรรลุ

 

ผลลัพธ์ที่ดีจากการเข้าใจบทบาทการจ้างงานอย่างชัดเจน

  • การทำงานที่เป็นระเบียบและราบรื่น: เมื่อทุกคนรู้หน้าที่และเป้าหมายของตนเองชัดเจน การทำงานก็จะเป็นระบบ ไม่ซ้ำซ้อน และลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาด
  • การสร้างประสบการณ์การทำงานที่ดีและเป็นมืออาชีพ: การรู้บทบาทและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเป็นสัญญาณของการทำงานอย่างมืออาชีพ ที่ทำให้ทุกฝ่ายมีความพึงพอใจและได้รับประสบการณ์ที่ดีในการร่วมงาน

 

ในท้ายที่สุด การทำความเข้าใจบทบาทในทุกคำนี้จึงมีประโยชน์มากกว่าการเลือกใช้คำให้ถูกต้อง แต่ยังเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานในทุกด้านเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งในด้านการสื่อสาร การปฏิบัติงาน และความสัมพันธ์ที่ยาวนาน


 

ติดตาม Daywork ได้ที่ช่องทาง

Facebook : www.facebook.com/daywork.th

Website : www.daywork.co

Linkedin : www.linkedin.com/company/daywork-thailand

Tiktok: www.tiktok.com/@dayworkth

 

อ่านบทความต่อ

หากคุณกำลังมองหาพนักงานพาร์ทไทม์? มาลงประกาศตามหากับเรา

หาพนักงาน ประกาศงานได้ด้วยตัวเองง่ายๆ ประกาศงานฟรี ได้พนักงานดี รวดเร็ว ทันใจ

ประจำ
พาร์ทไทม์
ด่วน
จำนวนมาก
daywork-ลงประกาศตามหากับเรา